แบบทดสอบความเข้าใจเกี่ยวกับ STEM Education

เฉลยและคำอธิบายเพิ่มเติม: (ชุดที่ 1)


1. STEM ย่อมาจากอะไร?
ข. Science, Technology, Engineering, Mathematics
STEM เป็นตัวย่อของ Science (วิทยาศาสตร์), Technology (เทคโนโลยี), Engineering (วิศวกรรมศาสตร์), และ Mathematics (คณิตศาสตร์) ซึ่งเป็นสี่สาขาวิชาหลักที่มุ่งเน้นการพัฒนาทักษะในการแก้ปัญหา การคิดวิเคราะห์ และการสร้างสรรค์นวัตกรรม เด็กๆ ที่เรียนรู้ STEM จะมีพื้นฐานในการเรียนรู้เชิงบูรณาการที่เชื่อมโยงทั้งสี่สาขาเข้าด้วยกัน ทำให้สามารถประยุกต์ใช้ทักษะต่างๆ ในการแก้ปัญหาจริงได้


2. อะไรคือทักษะที่ STEM เน้นพัฒนาในตัวเด็กมากที่สุด?
ข. การคิดวิเคราะห์ การแก้ปัญหา
STEM ไม่ได้เน้นเพียงการท่องจำข้อมูล แต่เน้นการพัฒนาทักษะการคิดวิเคราะห์ (Critical Thinking) และการแก้ปัญหา (Problem-Solving) โดยผ่านกระบวนการเรียนรู้ที่ส่งเสริมให้เด็กได้เผชิญกับปัญหาจริงๆ และต้องวิเคราะห์สถานการณ์ ค้นหาแนวทางแก้ไข และทดลองแนวทางเหล่านั้น การพัฒนาทักษะเหล่านี้เป็นสิ่งสำคัญต่อการเตรียมเด็กให้พร้อมสำหรับอนาคตในสายงานที่ต้องการการคิดเชิงวิเคราะห์และการแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์


3. วิชาใดต่อไปนี้เป็นส่วนหนึ่งของ STEM?
ค. วิศวกรรมศาสตร์
วิศวกรรมศาสตร์เป็นหนึ่งในสาขาวิชาหลักของ STEM โดยมุ่งเน้นที่การออกแบบ การสร้าง และการประยุกต์ใช้ทฤษฎีวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์ในการพัฒนานวัตกรรมและโครงสร้างพื้นฐาน การเรียนรู้วิศวกรรมศาสตร์ใน STEM ช่วยให้เด็กๆ เรียนรู้กระบวนการแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างและเทคโนโลยี


4. ทำไมการเรียนรู้ STEM ถึงมีความสำคัญต่ออนาคตของเด็ก?
ข. เพราะ STEM ช่วยพัฒนาอาชีพที่มีความต้องการสูงในอนาคต
อาชีพที่เกี่ยวข้องกับ STEM เช่น วิศวกร นักวิทยาศาสตร์ นักเทคโนโลยี และนักคณิตศาสตร์ ล้วนเป็นอาชีพที่มีความต้องการสูงในตลาดงานปัจจุบันและอนาคต เนื่องจากเทคโนโลยีและนวัตกรรมกำลังมีบทบาทสำคัญในทุกสาขาอาชีพ การเรียนรู้ STEM ช่วยเตรียมเด็กให้มีทักษะที่จำเป็นสำหรับอาชีพเหล่านี้ และสามารถแข่งขันในตลาดงานได้


5. การทำโครงการ STEM มักจะเกี่ยวข้องกับการทำงานในลักษณะใด?
ก. การทำงานร่วมกันเป็นทีม
การทำงานในโครงการ STEM มักเกี่ยวข้องกับการทำงานร่วมกันเป็นทีม (Collaboration) เด็กๆ จะได้เรียนรู้วิธีการทำงานร่วมกับผู้อื่น การแบ่งปันไอเดีย การรับฟังความคิดเห็น และการแก้ปัญหาร่วมกัน การทำงานเป็นทีมช่วยพัฒนาทักษะทางสังคมและการสื่อสาร ซึ่งเป็นทักษะที่จำเป็นในชีวิตจริงและการทำงานในอนาคต


6. ทักษะใดต่อไปนี้ที่ STEM ช่วยพัฒนาในเด็กมากที่สุด?
ข. การแก้ปัญหาและความคิดสร้างสรรค์
STEM เน้นการพัฒนาทักษะการแก้ปัญหา (Problem-Solving) และความคิดสร้างสรรค์ (Creativity) ผ่านการทดลอง การประดิษฐ์ และการค้นหาวิธีแก้ปัญหาต่างๆ ด้วยการคิดนอกกรอบ เด็กๆ ที่เรียนรู้ STEM จะมีความสามารถในการคิดสร้างสรรค์และสามารถคิดวิธีใหม่ๆ ในการแก้ปัญหา


7. เด็กที่เรียนรู้ STEM จะมีทักษะใดเมื่อเผชิญกับปัญหาในชีวิตจริง?
ข. การคิดวิเคราะห์และแก้ปัญหาอย่างมีระบบ
STEM สอนให้เด็กคิดอย่างมีระบบ (Systematic Thinking) เมื่อเผชิญกับปัญหา พวกเขาจะสามารถวิเคราะห์สถานการณ์ แบ่งแยกปัญหาออกเป็นส่วนย่อยๆ และหาวิธีแก้ไขปัญหาด้วยการทดลองและวิเคราะห์ผล การเรียนรู้ในรูปแบบนี้ช่วยให้เด็กมีความพร้อมในการแก้ปัญหาที่ซับซ้อนในชีวิตจริง


8. การประยุกต์ใช้ความรู้ STEM ในชีวิตประจำวันสามารถทำได้ในสถานการณ์ใด?
ก. การทำอาหารในครัว
STEM สามารถนำมาใช้ในชีวิตประจำวัน เช่น การทำอาหารที่ต้องอาศัยการคำนวณปริมาณส่วนผสม การวางแผนเวลาในการปรุงอาหาร และการทดลองกับรสชาติใหม่ๆ ซึ่งเกี่ยวข้องกับทั้งวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์ การทำอาหารยังสามารถฝึกฝนการคิดสร้างสรรค์และการแก้ปัญหาได้ด้วย


9. การสนับสนุนจากพ่อแม่ในการเรียนรู้ STEM ของเด็กควรทำอย่างไร?
ข. ตั้งคำถามและสนับสนุนให้เด็กทดลองสิ่งใหม่ๆ
พ่อแม่ควรสนับสนุนให้เด็กตั้งคำถามเกี่ยวกับสิ่งต่างๆ รอบตัวและทดลองสิ่งใหม่ๆ การตั้งคำถามเป็นจุดเริ่มต้นของการคิดวิเคราะห์และการแก้ปัญหา การสนับสนุนให้เด็กได้ทดลองช่วยเสริมสร้างความคิดสร้างสรรค์และความมั่นใจในการค้นหาคำตอบด้วยตนเอง


10. STEM ช่วยให้เด็กมีทักษะที่จำเป็นสำหรับอาชีพใดในอนาคต?
ค. วิศวกรและนักวิทยาศาสตร์
STEM ช่วยให้เด็กมีทักษะทางวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิศวกรรม และคณิตศาสตร์ ซึ่งเป็นพื้นฐานสำหรับอาชีพวิศวกรและนักวิทยาศาสตร์ การเรียนรู้ในสาขาเหล่านี้ทำให้เด็กพร้อมสำหรับอาชีพที่ต้องใช้ความคิดวิเคราะห์และการแก้ปัญหาอย่างเป็นระบบ ซึ่งเป็นทักษะสำคัญในอนาคต