2.3 กรณีศึกษา

2.3.2 การตั้งสมมติฐานจากกรณีศึกษา

การตั้งสมมติฐาน (Hypothesis Formation) จากกรณีศึกษาเป็นกระบวนการที่นักเรียนนำข้อมูลและข้อเท็จจริงที่ได้รับจากกรณีศึกษามาใช้ในการคาดการณ์หรือคาดคะเนผลลัพธ์ที่เป็นไปได้ การตั้งสมมติฐานเป็นขั้นตอนที่สำคัญในกระบวนการวิเคราะห์และการแก้ปัญหา เพราะช่วยให้นักเรียนสามารถคาดการณ์ถึงปัญหาหรือผลลัพธ์ที่อาจเกิดขึ้น และวางแผนการแก้ไขที่มีประสิทธิภาพ

ขั้นตอนในการตั้งสมมติฐานจากกรณีศึกษา

  1. การทำความเข้าใจกับกรณีศึกษา (Understanding the Case Study)

    • ก่อนที่จะตั้งสมมติฐาน นักเรียนควรเริ่มจากการทำความเข้าใจรายละเอียดทั้งหมดของกรณีศึกษา ทั้งปัญหาที่เกิดขึ้น ข้อเท็จจริงที่เกี่ยวข้อง สภาพแวดล้อม และบริบทต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับกรณีศึกษา ข้อมูลเหล่านี้จะช่วยให้นักเรียนเห็นภาพรวมและสามารถระบุปัญหาหลักได้อย่างชัดเจน
  2. การวิเคราะห์ข้อมูลที่มี (Analyzing Available Data)

    • นักเรียนควรพิจารณาข้อมูลจากกรณีศึกษาที่เกี่ยวข้องกับปัจจัยต่าง ๆ ซึ่งอาจเป็นสาเหตุของปัญหาหรือมีผลกระทบต่อสถานการณ์ นักเรียนควรวิเคราะห์ข้อมูลเหล่านี้เพื่อหาความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยต่าง ๆ เช่น ผลกระทบของการใช้ทรัพยากรในโครงการที่กำหนด หรือผลลัพธ์ที่ได้จากการดำเนินการทางธุรกิจ
  3. การระบุปัจจัยที่เกี่ยวข้อง (Identifying Key Factors)

    • นักเรียนควรระบุปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับปัญหาหรือแนวโน้มในกรณีศึกษา เช่น ปัจจัยภายในองค์กร ปัจจัยทางสังคม ปัจจัยทางเศรษฐกิจ หรือปัจจัยทางเทคนิค การระบุปัจจัยเหล่านี้จะช่วยให้นักเรียนเห็นภาพที่ชัดเจนขึ้นเกี่ยวกับสิ่งที่อาจมีผลต่อผลลัพธ์ของกรณีศึกษา
  4. การตั้งสมมติฐาน (Formulating Hypotheses)

    • หลังจากการวิเคราะห์ข้อมูลและระบุปัจจัยที่เกี่ยวข้อง นักเรียนสามารถเริ่มตั้งสมมติฐาน ซึ่งเป็นการคาดการณ์ถึงสิ่งที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตหรือคาดการณ์ถึงสาเหตุของปัญหา สมมติฐานควรมีความสมเหตุสมผลและสอดคล้องกับข้อมูลที่มีอยู่
    • ตัวอย่าง: หากกรณีศึกษาเกี่ยวกับปัญหาการลดลงของยอดขาย สมมติฐานอาจเป็นว่า "ยอดขายลดลงเนื่องจากลูกค้าเปลี่ยนไปใช้ผลิตภัณฑ์ของคู่แข่งที่มีราคาถูกกว่า"
  5. การทดสอบสมมติฐาน (Testing Hypotheses)

    • เมื่อนักเรียนได้ตั้งสมมติฐานแล้ว พวกเขาควรทดสอบสมมติฐานเหล่านี้ด้วยการวิเคราะห์ข้อมูลเพิ่มเติมหรือทำการทดลองที่จำลองสถานการณ์ที่คล้ายกับกรณีศึกษาเพื่อยืนยันความถูกต้องของสมมติฐาน การทดสอบนี้จะช่วยให้นักเรียนมั่นใจว่าสมมติฐานที่ตั้งไว้นั้นมีความเป็นไปได้หรือไม่
    • ตัวอย่าง: นักเรียนอาจทำการสำรวจความคิดเห็นของลูกค้าเพื่อทดสอบสมมติฐานว่าการลดราคาของคู่แข่งเป็นสาเหตุที่ทำให้ยอดขายลดลง

คำถามกระตุ้นความคิด

คำถามที่ 1: นักเรียนคิดว่าข้อมูลใดในกรณีศึกษามีความสำคัญมากที่สุดในการตั้งสมมติฐาน และทำไม?
คำถามที่ 2: เมื่อนักเรียนตั้งสมมติฐานเกี่ยวกับปัญหาที่เกิดขึ้นในกรณีศึกษา พวกเขาจะใช้ข้อมูลอะไรในการทดสอบสมมติฐานนั้น?

เพิ่มเติม:

ให้นักเรียนเลือกกรณีศึกษาที่มีปัญหาเฉพาะ แล้วตั้งสมมติฐานเกี่ยวกับสาเหตุของปัญหานั้น จากนั้นให้นักเรียนเสนอแนวทางการทดสอบสมมติฐานที่ตั้งไว้ พร้อมอธิบายเหตุผลว่าทำไมวิธีนี้จึงน่าจะช่วยทดสอบสมมติฐานได้อย่างมีประสิทธิภาพ


แนวทางของคำถามที่ 1:

ข้อมูลที่สำคัญที่สุดในการตั้งสมมติฐานคือข้อมูลที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับปัญหาหลักที่เกิดขึ้นในกรณีศึกษา ข้อมูลนี้สามารถเป็นตัวบ่งชี้ถึงสาเหตุหรือผลกระทบของปัญหา ตัวอย่างเช่น หากกรณีศึกษากำลังพิจารณาปัญหาการลดลงของยอดขาย ข้อมูลยอดขายในช่วงเวลาต่าง ๆ รวมถึงการเปรียบเทียบกับคู่แข่ง จะมีความสำคัญในการระบุสาเหตุของปัญหา นักเรียนควรให้ความสำคัญกับข้อมูลที่ได้รับการตรวจสอบแล้วว่ามีความน่าเชื่อถือและเกี่ยวข้องโดยตรงกับการแก้ไขปัญหาที่ศึกษา

แนวทางของคำถามที่ 2:

เมื่อนักเรียนตั้งสมมติฐานเกี่ยวกับปัญหาในกรณีศึกษา พวกเขาควรใช้ข้อมูลที่สามารถยืนยันหรือหักล้างสมมติฐานได้โดยตรง ข้อมูลนี้ควรเกี่ยวข้องกับปัจจัยที่สมมติฐานกล่าวถึง ตัวอย่างเช่น หากสมมติฐานระบุว่าการลดลงของยอดขายเกิดจากการเพิ่มขึ้นของคู่แข่ง นักเรียนอาจทดสอบสมมติฐานโดยใช้ข้อมูลตลาดและข้อมูลยอดขายของคู่แข่ง เพื่อเปรียบเทียบว่าความสัมพันธ์ระหว่างการเพิ่มขึ้นของยอดขายคู่แข่งและการลดลงของยอดขายของบริษัทนั้นมีความเชื่อมโยงกันจริงหรือไม่